ไม่อยากดื้อโบท็อกซ์ ต้องทำอย่างไร
อัปเดตเมื่อ 23 ส.ค. 2564

ไม่อยากดื้อโบท็อกซ์ ต้องทำอย่างไร
การฉีดลดริ้วรอยบนใบหน้า ด้วยสารโบท็อกซ์ หรือ โบทูลินั่มท็อกซิน ปัจจุบันมีการฉีดอย่างแพร่หลาย และมีหลายแบรนด์หรือยี่ห้อมาให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ต้นตำรับจากประเทศอเมริกา ประเทศอังกฤษ ประเทศเยอรมัน และประเทศเกาหลี และอีกหลายๆประเทศที่กำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆนะคะ เพราะโบทูลินั่มท็อกซิน สามารถนำมาใช้ในการแก้ปัญหาได้หลายจุดในด้านผิวหนังและความงาม ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ลำคอ รักแร้ไปจนถึงน่อง
เนื่องจากการออกฤทธิ์ที่มีระยะเวลาจำกัดของสารโบทูลินั่ม ในการลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยเฉลี่ยคือ 4-6 เดือน จึงจำเป็นที่จะต้องรับบริการประมาณ 2-3 ครั้งต่อปีเป็นอย่างน้อย ดังนั้นหากมีการดื้อสารโบท็อกซ์ขึ้น คงจะทำให้ได้รับผลกระทบต่อผู้ที่ต้องใช้สารโบท็อกซ์ในการแก้ปัญหาได้นะคะ
อาการที่บ่งบอกว่าเกิดการดื้อโบทูลินั่มท็อกซิน
การลดริ้วรอยด้วยปริมาณสารโบทูลินั่มท็อกซินด้วยปริมาณเท่าเดิม แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น เช่น การลดริ้วรอยบริเวณหน้าผากด้วยปริมาณยาที่เท่าเดิมที่เคยลดริ้วรอยได้หมด แต่เมื่อมีการเติมรอบปัจจุบัน เติมปริมาณยาเท่าเดิมแล้ว ไม่สามารถลดริ้วรอยได้หมดเหมือนครั้งก่อนหน้านี้
การลดริ้วรอยด้วยสารโบทูลินั่มท็อกซิน ซึ่งมีริ้วรอยเหมือนเดิม แต่ต้องใช้ปริมาณยามากขึ้นกว่าเดิมจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
การลดริ้วรอยหรือปรับรูปหน้าด้วยสารโบทูลินั่มท็อกซินด้วยปริมาณยาเท่าเดิม แต่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงหลังการรักษาเลย

สาเหตุที่ทำให้เกิดการดื้อโบท็อกซ์
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดื้อโบนั้น หลักๆ เกิดจากการที่ร่างกายของเราสร้างภูมิต้านทาน หรือ แอนติบอดี้ (antibody) ขึ้นมาต่อต้านโปรตีนที่เกาะอยู่กับสารโบทูลินั่มท็อกซิน (Complexing protein) ทำให้สารโบท็อกซ์ของเราไม่สามารถออกฤทธิ์ไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่ช่วยลดริ้วรอย หรือลดขนาดกล้ามเนื้อบริเวณที่เราต้องการได้
โดยสามารถแยกปัจจัยในการดื้อโบท็อกซ์ได้ประมาณ 3 ปัจจัยค่ะ
ปัจจัยที่ 1 คือ ตัวคนไข้หรือผู้รับบริการเอง พบว่าพันธุกรรมของผู้รับบริการบางรายนั้น ร่างกายจะต่อต้านสารโบทูลินั่มท็อกซินขึ้นมาเอง ซึ่งปัจจัยนี้เกิดขึ้นเฉพาะบุคคลและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ปัจจัยที่ 2 คือ ผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ โดยสัมพันธ์กับคุณสมบัติของขนาดโมเลกุลของโปรตีนที่ล้อมรอบสารโบทูลินั่มท็อกซิน หรือ คอมเพล็กซิ่งโปรตีน (Complexing protein) หากโปรตีนดังกล่าวมีขนาดที่ใหญ่ ก็มีโอกาสที่จะกระตุ้นให้เกิด Antibody ต่อสารโบทูลินั่มท็อกซินได้มากขึ้น
ปัจจัยที่ 3 คือ พฤติกรรมการฉีด พบว่า ความถี่ในการรับบริการ และปริมาณของสารโบทูลินั่มท็อกซินที่ได้รับในแต่ละครั้งนั้น มีความสัมพันธ์กับการดื้อ เช่น ผู้ที่ได้รับสารโบทูลินั่มท็อกซินซ้ำบ่อยๆ เกินปีละ 2 ครั้ง และได้รับปริมาณยาที่สูงกว่า 100 ยูนิต ต่อครั้ง นั้นอาจก่อให้เกิดการดื้อโบท็อกซ์ได้มากขึ้น

ทำอย่างไรเพื่อป้องกันการเกิดการดื้อโบท็อกซ์
1. ควรรับบริการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับรูปหน้าหรือลดริ้วรอยด้วยสารโบทูลินั่มท็อกซินเท่านั้น เนื่องจากแพทย์จะวิเคราะห์ปัญหาและปริมาณยาที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
2. ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรเลือกชนิดที่มีขนาดโมเลกุลเล็กและบริสุทธิ์สูง และที่สำคัญต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานประสิทธิภาพและความปลอดภัย จาก อ.ย.ไทย และต่างประเทศ หลีกเลี่ยงการใช้ยาปลอมหรือไม่ผ่านมาตรฐาน อ.ย. นะคะ เพราะไม่สามารถมั่นใจได้ว่า ส่วนผสมในขวดนั้นมีสารโบทูลินั่มท็อกซินปริมาณเท่าไร และไม่สามารถมั่นใจความบริสุทธิ์ของท็อกซินในขวดได้ค่ะ ยิ่งถ้ามีสารแปลกปลอมก็จะยิ่งทำให้โอกาสการดื้อโบทูลินั่มท็อกซินเกิดได้เร็วขึ้นนะคะ ดังนั้นก่อนการตัดสินใจฉีด ควรมั่นใจในผู้ฉีด สถานที่ ที่มาของผลิตภัณฑ์ และสามารถตรวจสอบเลขผลิตภัณฑ์ได้ด้วยนะคะ
3. ควรรับบริการแต่พอดี ไม่ควรเกินปีละ 3 ครั้ง และในแต่ละครั้งไม่ควรเกินครั้งละ 100 ยูนิต เพราะการฉีดบ่อยเกินไป หรือได้รับปริมาณยามากเกินไปจะทำให้เกิดโอกาสการดื้อโบมากขึ้นค่ะ
สำหรับท่านที่เคยรับบริการลดริ้วรอยหรือปรับรูปหน้าด้วยโบท็อกซ์แล้ว คงไม่มีใครอยากให้เกิดอาการดื้อใช่ไหมคะ ดังนั้นการเลือกสถานที่ ผลิตภัณฑ์ทีเลือกใช้ รวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งจำเป็นค่ะ แต่ถ้าใครเกิดอาการดื้อแล้ว หมอแนะนำว่าควรหยุดรับบริการฉีดโบท็อกซ์อย่างน้อย 1 ปีนะคะ เพื่อให้ปริมาณแอนติบอดี้ในร่างกายลดลง แล้วจึงเริ่มการรักษาใหม่ได้ค่ะ
รายละเอียดเพิ่มเติม
สอบถามเพิ่มเติม หรือ นัดหมายปรึกษาได้ทาง
โทร 02-4260096
facebook : ssbclinic
LINE : @ssbclinic